รอบรู้สมุนไพรไทย –


September 26, 2012

กระเทียม สมุนไพรเทพเจ้า

Category: Uncategorized – noum77 9:18 am

กระเทียม สมุนไพรเทพเจ้า

ส่วนใหญ่คนไม่รู้กันหรอกครับว่าพี่เเกเทพขนาดไหนรู้เเค่ว่าใส่น้ำปลาเเล้วอร่อยว่างั้น

ข้อมูลจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ระบุว่า กระเทียม (garlic) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativum Linn. แทบทุกครัวเรือนรู้วิธีการเจียวกระเทียมในน้ำมันให้หอมก่อน แล้วจึงใส่เนื้อสัตว์หรือผัก เป็นวิธีดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์และเพิ่มรสชาติให้กับอาหารประเภทผัดชนิดต่างๆ ได้อย่างดี

ทั้งยังใช้กระเทียมเจียวโรยหน้าอาหารอีกหลายอย่าง หรือใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในเครื่องแกงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะเป็นตัวช่วยแต่งกลิ่นและรสร่วมกับมะนาวในน้ำพริกกะปิ แม้แต่พริกน้ำปลาหรือน้ำจิ้มรสแซบก็จะลืมกระเทียมไปไม่ได้ นอกจากนี้ใบและหัวกระเทียมสดๆ ยังเป็นผัก รวมถึงกระเทียมดองของอร่อย

 

กระเทียมยังเป็นสมุนไพรแก้ไขบรรเทาปัญหาสุขภาพของชาวบ้านมาโดยตลอด หมอพื้นบ้านไทยใช้กระเทียมสดรักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน โรคบิด ป่วง แก้ไอ และกระจายโลหิต กระทั่งเป็นที่สรุปได้ว่า กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเด่น 2 ประการ คือ ใช้ทารักษาโรคผิวหนัง และรับประทานแก้โรคความดันโลหิตสูง

 

การศึกษาทดลองคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาในระยะหลัง พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกหลายอย่าง แต่การนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้ผลอย่างจริงจังยังจะต้องมีการศึกษาผลทางคลินิกวิทยาให้ถ่องแท้เสียก่อน

 

          โดยสรรพคุณต่างๆ ของกระเทียม มีดังนี้

 

1. ฆ่าเชื้อรา คือ กลาก เกลื้อน และเชื้อราที่เกิดตามเล็บ หนังศีรษะและผม

 

2. ฆ่าเชื้อยีสต์ชนิดที่ทำให้เกิดลิ้นขาวเป็นฝ้าในเด็กทารก และทำให้เกิดโรคมุตกิดระดูขาวที่มักจะเกิดในหญิงที่ตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ

 

3. ลดความดันโลหิตสูง

 

4. ลดไขมันและคอเลสเตอรอล

 

5. ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว

 

6. ลดน้ำตาลในเลือด

 

7. ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแทบทุกชนิด กล่าวคือ มีสารอัลลิซิน ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่มักทำให้เกิดโรคได้ถึง 15 ชนิด โดยเฉพาะยับยั้งเชื้อพวกที่ดื้อยาเพนนิซิลินได้ดีกว่าเชื้อพวกที่ไม่ดื้อยาอีกด้วย นอกจากนี้ ยังฆ่าเชื้อบิดมีตัวที่มีพิษต่อลำไส้ได้ดี โดยมีสารที่สำคัญคือกาลิซิน รวมทั้งสามารถยับยั้งเชื้อบิดเทียม ซึ่งไม่รบกวนแบคทีเรียตัวอื่นที่มีประโยชน์ต่อลำไส้

 

8. ยับยั้งเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง และใช้รักษาแผลสด แผลที่เป็นหนอง คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เชื้อวัณโรค และเชื้อปอดบวม

 

9. รักษาไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่

 

10. เป็นยาขับเสมหะและมีฤทธิ์ขับเหงื่อและขับปัสสาวะ

 

11. รักษาโรคไอกรน

 

12. แก้หืดและโรคหลอดลม

 

13. แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย

 

14. ควบคุมโรคกระเพาะ คือมีสารเอเอส 1 ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ และยังช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้ด้วย

 

15. ขับพยาธิต่างๆ ได้หลายชนิด ได้แก่ พยาธิเข็มหมุด พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย และมีรายงานทดสอบจากอินเดียว่า กระเทียมมีสารไดอัลลิลไดซัลไฟด์ มีฤทธิ์ใช้ฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ดี

 

16. แก้เคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง เพราะมีสารอัลลิซินเป็นตัวช่วยทำให้เลือดไหลเวียนมายังบริเวณที่ทาถูนวดยาได้ดีมากขึ้น

 

17. แก้ปวดข้อและปวดเมื่อย

 

18. ต่อต้านเนื้องอก

 

19. กำจัดพิษตะกั่ว

 

20. บำรุงร่างกาย ประเทศญี่ปุ่นได้ค้นพบสารในกระเทียมชื่อสคอร์ดินิน ไม่มีกลิ่น แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง รวมทั้งช่วยให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโตและช่วยลดไขมันในร่างกาย

 

ยังมีผู้พบว่าในกระเทียมมีธาตุเจอร์เมเนียมค่อนข้างสูง ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหืด โรคไต โรคตับอ่อนและอาการท้องผูก รวมถึงมีสารชักนำวิตามินบี 1 เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้นเท่าตัว โดยรวมเป็นสารอัลลิลไทอะมิน ทำให้วิตามินบี 1 ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นถึง 20 เท่า

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

September 16, 2012

ยาปฏิชีวนะคืออะไรต่างกับยาแก้อักเสบอย่างไร

Category: Uncategorized – noum77 4:22 am

ยาปฏิชีวนะคืออะไรต่างกับยาแก้อักเสบอย่างไร

1. ยาปฏิชีวนะคืออะไร ต่างกับยาแก้อักเสบอย่างไร
โดยคำศัพท์ที่แท้จริงแล้ว ยาปฏิชีวนะตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า antibiotics ซึ่งหมายถึงยาที่ผลิตมาจากสิ่งมีชีวิต อาจจะเป็นยาต้านจุลชีพหรือยาต้านมะเร็งก็ได้ คำที่เหมาะสมกว่าที่ควรจะใช้สื่อความหมายของยาที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อ คือยาต้านจุลชีพ หรือยาฆ่าเชื้อ ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยตามคุณสมบัติของยาในการกำจัดเชื้อได้เป็นยาต้านแบคทีเรีย ยาต้านไวรัส ยาต้านเชื้อรา แต่โดยทั่วๆไปมักจะอนุโลมให้ใช้คำว่ายาปฏิชีวนะแทนยาต้านจุลชีพ ซึ่งคนส่วนใหญ่คุ้นเคยน้อยกว่า
สำหรับยาแก้อักเสบ หมายถึง ยาที่ช่วยลดอาการอักเสบ  แต่เนื่องจากมักมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายมนุษย์จะมีปฏิกิริยาต่อต้านเชื้อโรคนั้น เพื่อกำจัดเชื้อโรค ปฏิกิริยาดังกล่าวมักจะมีผลให้เกิดลักษณะของการอักเสบ ทำให้เกิดความเจ็บป่วย เช่น คออักเสบ ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น การใช้ยาต้านจุลชีพไปกำจัดเชื้อที่ก่อโรคจะมีส่วนช่วยให้อาการอักเสบทุเลาลง เพราะต้นเหตุถูกจำกัด ส่วนการอักเสบนั้นๆจะค่อยๆทุเลาลง จากการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อ หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆช่วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงมีการเรียกยาต้านจุลชีพว่าเป็นยาแก้อักเสบ แต่แท้จริงแล้วยังมีโรคที่เกิดจากภาวการณ์อักเสบอีกมากมายที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาต้านจุลชีพ อาจต้องใช้ยาแก้อักเสบซึ่งเป็นยาที่ไปลดการอักเสบโดยตรง เช่น ยาแอสไพรินหรือพักการใช้อวัยวะส่วนนั้นจนกว่าจะหายดี โรคที่เกิดจากการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น การที่ข้ออักเสบจากโรครูมาตอยด์ หรือจากการบาดเจ็บ เสียงแหบเนื่องจากหลอดเสียงอักเสบเพราะใช้เสียงมาก

2. มีสรรพคุณในการรักษาโรคประเภทใด เมื่อไรที่เราควรจะกินยาปฏิชีวนะ
ยาปฏิชีวนะ หรือชื่อที่ถูกต้องว่า คือยาต้านจุลชีพ มีสรรพคุณในการกำจัดเชื้อโรคที่ทำให้มนุษย์เจ็บป่วยจากการที่เชื้อโรคทำให้เกิดการอักเสบ ฉะนั้นจึงเป็นยาที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อ
เราควรจะกินยาปฏิชีวนะเฉพาะเมื่อมีอาการเจ็บป่วย ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเกิดจากการติดเชื้อและใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใดชนิดหนึ่งรักษาได้ผลเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต้องเลือกตัวยาปฏิชีวนะให้ตรงกับเชื้อที่เป็นสาเหตุอีกด้วย ไม่ใช่ว่าพอเป็นโรคติดเชื้อแล้วจะใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใดๆก็ได้ โดยกว้างๆก็คือ ถ้าติดเชื้อแบคทีเรีย ก็ต้องใช้ยาต้านแบคทีเรีย ถ้าติดเชื้อไวรัส ก็ต้องใช้ยาต้านไวรัส แต่แค่นี้ยังไม่พอ เพราะยาต้านแบคทีเรียเฉพาะตัวยาที่ขึ้นทะเบียนให้มีใช้ในประเทศไทยก็มีมากกว่า ๑oo ชนิด และถ้านับเป็นชื่อการค้าจากแหล่งผลิตต่างๆ ก็มีหลายพันชนิด และเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคก็มีหลายสิบชนิด ยาแต่ละชนิดก็ใช้กำจัดเชื้อโรคแต่ละชนิดแตกต่างกัน เช่น ถ้ามีการอักเสบจากการติดเชื้อสเตรป ก็ต้องใช้ยาเพนิซิลลิน ถ้าเป็นเชื้อไมโคพลาสมา ต้องใช้อีริโทรไมซิน ถ้าเป็นเชื้อไวรัส โดยทั่วไปก็ไม่มียาที่ใช้ได้ผล เป็นต้น

3. เวลาเป็นไข้ (ตัวร้อน) หรือเป็นหวัด หรือเจ็บคอ หรือไอ จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะหรือไม่ เพราะเหตุใด
ผู้ใหญ่ที่เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอ จะมีกรณีที่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนที่อยู่ใกล้ชิดกันเป็นด้วยกันหลายคน อาการที่ชี้แนะว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ได้แก่ น้ำมูกใสๆ หรือคัดจมูก จาม เสียงแหบหรือเสียงหาย ในกรณีเช่นนี้สันนิษฐานได้ว่า เกิดจากการติดเชื้อไวรัส และไม่มียาปฏิชีวนะชนิดใดกำจัดเชื้อที่เป็นสาเหตุได้
โดยทั่วๆไปแล้ว ควรจะรักษาตามอาการนั้นๆ เป็นเบื้องต้น ถ้าเป็นไข้ก็กินยาลดไข้ พาราเซตามอล หรือเช็ดตัวให้ไข้ลดถ้าเป็นเด็กเล็ก เป็นหวัดก็สั่งน้ำมูกออก หรือถ้ามีน้ำมูกมากก็อาจกินยาลดน้ำมูกเป็นครั้งคราว เพื่อทำให้รู้สึกจมูกโล่งขึ้น เช่น ยาคลอร์เฟนิรามีน เมื่อมีอาการเจ็บคอหรือไอก็ควรลดการใช้เสียงลง กินน้ำอุ่นให้พอเพียง หรืออมยาอมบางชนิดเพื่อให้ชุ่มคอ ถ้าเจ็บคอมากอาจกินยาพาราเซตามอล และถ้าไอมากอาจใช้ยาแก้ไอบางชนิดช่วยทุเลาอาการไอ รักษาร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณคอและหน้าอกให้อบอุ่นก็จะช่วยบรรเทาอาการลงได้
กรณีที่อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการดังกล่าวในผู้ใหญ่ คือ เมื่อมีไข้สูง โดยไม่มีอาการหวัดหรือไอ และอาการไม่ทุเลาลงหลังกินยาพาราเซตามอล หรือมีไข้อยู่หลายวัน เมื่อมีอาการเจ็บคอโดยไม่มีอาการอื่นๆร่วมด้วย อาจเกิดจากการติดเชื้อสเตรป ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคหัวใจรูมาติก(ลิ้นหัวใจรั่ว)ได้ ควรได้รับการรักษาด้วยยาเพนิซิลลิน มีอาการไอมาก จนรู้สึกเหนื่อย อาจเกิดจากการติดเชื้อไมโคพลาสมา ซึ่งรักษาได้ด้วยยาเตตราไซคลีน หรืออีริโทรไมซิน มีอาการหวัดเรื้อรัง น้ำมูกมีปริมาณมากและข้นเหลือง อาจเกิดจากไซนัสอักเสบ ที่ถูกต้องแล้วควรจะไปพบแพทย์วินิจฉัยโรคและเชื้อที่เป็นสาเหตุ และแนะนำยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมทั้งชนิด ขนาด และระยะเวลาที่ควรรักษาให้
ถ้าเป็นเด็กเล็กจะมีกรณีที่จะใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษามากกว่าผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ควรให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย และแนะนำการใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมต่อโรค

4. ถ้ามีบาดแผล เมื่อไรจึงจะจำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ
ถ้าเป็นแผลตื้นๆ และสะอาด ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ
ถ้าเป็นแผลตื้นๆ และสกปรกเพียงเล็กน้อย อาจใช้ยาทาแผลที่ฆ่าเชื้อได้ เช่น แอลกอฮอล์ เบตาดีน
ถ้าเป็นแผลลึก หรือแผลที่สกปรกค่อนข้างมากหรือมาก อาจจำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ ร่วมกับการทำแผลอย่างเหมาะสม รวมทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก

5. การกินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเกินจำเป็นจะมีผลอย่างไร
จะมีผลให้เกิดการแพ้ยาโดยไม่จำเป็น และที่สำคัญคือจะทำให้เกิดเชื้อดื้อยา เมื่อมีการติดเชื้อที่ดื้อยาเข้าก็จะหายารักษาได้ยาก

6. ยานี้มีหลักการใช้อย่างไร
ชนิดกินกับชนิดฉีดต่างกันอย่างไร ? ?
ในการใช้ยาโดยทั่วไปจะเลือกใช้ยาชนิดกินก่อนเสมอ เพราะให้ได้สะดวก และอันตรายจากยาน้อยกว่ายาชนิดฉีด รวมทั้งราคาถูกกว่ามากด้วย
จะใช้ยาฉีด เพราะกรณีที่ไม่มียากินที่จะใช้รักษาโรคนั้นๆได้ คนไข้ไม่สามารถกินยาได้ เช่น กินยาแล้วอาเจียน อยู่ในภาวะไม่รู้สึกตัว คนไข้มีอาการท้องเสียมาก จนคิดว่ายาที่กินเข้าไปจะถูกถ่ายออกมาจนเข้าสู่ร่างกายได้ไม่เพียงพอที่จะใช้รักษา

หลายคนเข้าใจผิดว่า การฉีดยาจะทำให้โรคหายเร็วขึ้น แต่ที่จริงแล้ว ถ้าเป็นกรณีที่มียากินสามารถใช้รักษาได้ดีอยู่แล้ว การฉีดยาไม่ช่วยให้หายเร็วขึ้น ในบางกรณียาฉีดและยากินที่รักษาโรคได้ดีเท่ากันนั้น ราคายาฉีดจะแพงกว่ามากกว่า ๑o เท่า รวมทั้งเจ็บตัว และต้องจ่ายค่าฉีดยาอีกด้วย

ควรกินก่อนอาหารหรือหลังอาหาร เพราะเหตุใด

การกินยาก่อนหรือหลังอาหารขึ้นอยู่กับชนิดของยา ทั้งนี้เพราะในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดและด่างต่างกันในช่วงก่อนอาหารและหลังอาหาร ในขณะที่หิวหรือก่อนอาหาร มีน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมากทำให้เป็นกรด ถ้ากินยาบางชนิดในระยะนี้ ยาอาจจะถูกทำลายด้วยกรดในกระเพาะ ในระยะหลังกินอาหารความเป็นกรดในกระเพาะอาหารจะน้อยลงทำให้ยาที่ไม่ทนกรดไม่ถูกทำลาย แต่ก็จะมีอาหารในกระเพาะ ทำให้ยาบางชนิดจับตัวกับอาหารในกระเพาะและถูกขับถ่ายออกไป โดยไม่ผ่านผนังกระเพาะหรือลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด

การกินยาก่อนอาหารหมายถึงประมาณครึ่ง-๑ช.ม. ก่อนกินอาหารและหลังอาหารคือครึ่ง-๑ ช.ม. หลังกินอาหาร ส่วนการกินยาแล้วก่อนกินอาหารทันที หรือกินอาหารเสร็จแล้วกินยาทันทีนั้น เป็นการกินยาพร้อมอาหาร มียาบางชนิดควรกินพร้อมอาหาร ซึ่งมักจะเป็นยาที่รบกวนกระเพาะอาหาร เช่น ยาอีริโทรไมซิน ในการสั่งยาแต่ละชนิดแพทย์หรือเภสัชกรจะเป็นผู้บอกให้ได้ว่ายานั้นๆ ควรจะกินก่อนหรือหลังอาหาร ในกรณีของยาปฏิชีวนะนั้น หากลืมกินยาชนิดที่ควรกินก่อนอาหาร สามารถกินหลังอาหารได้ แม้ว่าจะไม่ดีเท่ากับการกินยาให้ถูกต้อง แต่ก็ดีกว่าที่จะงดยามื้อนั้นๆไปเลย

7. ยาปฏิชีวนะชนิดผงหรือยาทาที่ใช้โรยแผลหรือทาแผล มีประโยชน์และข้อควรระวังอย่างไร
ยาฆ่าเชื้อที่ใช้โรยหรือทาแผลนั้นมีอยู่ ๒ กลุ่มใหญ่ คือกลุ่มที่เป็นยาปฏิชีวนะ และกลุ่มที่เป็นสารเคมีอื่นๆ

  • กลุ่มยาปฏิชีวนะ ได้แก่ นีโอไมซิน ซัลฟา คลอแรมฯ เตตราไซคลีน เป็นต้น
  • ส่วนยาอื่นๆ ได้แก่ แอลกอฮอล์ เบตาดีน ยาทิงเจอร์ เบซิเทซิน เป็นต้น ควรเลือกใช้ยาทาแผลที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะก่อน เช่น เบตาดีน เบซิเทซิน ไม่ควรใช้ยาทาแผลที่ประกอบด้วยยาเจนตาไมซิน คานาไมซิน หรือโทบราไมซิน เพราะการใช้ยาเหล่านี้ทาแผลจะทำให้เชื้อดื้อยาได้เร็ว และทำให้ใช้รักษาการติดเชื้อที่รุนแรงกว่าไม่ได้  ยาทาแผลเหล่านี้อาจก่อให้เกิดการแพ้หรือการระคายเฉพาะที่ได้บ้าง

ในกรณีที่มีการติดเชื้อที่แผลซึ่งไม่รุนแรง การใช้ยาทาแผลเฉพาะที่ก็มีประโยชน์ในการกำจัดเชื้อโดยตรง โดยที่ยาไม่เข้าไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แต่ถ้าแผลสะอาดดี ไม่มีการติดเชื้อ ก็ไม่จำเป็นต้องทายาฆ่าเชื้อเหล่านี้ เพียงแต่ใช้ผ้ากอซสะอาดปิด หรือทายาแดงเพื่อปิดเนื้อส่วนที่ยังไม่มีผิวหนังมาคลุม นอกจากนี้ครีมว่านหางจระเข้ ยังเป็นยาที่ใช้รักษาแผลติดเชื้อได้ดี

8. ยานี้ต้องกินให้ครบขนาดและระยะเวลาที่หมอสั่งหรือไม่ เพราะอะไร
การรักษาโรคจากการติดเชื้อนั้น จะต้องกินยาให้ได้ขนาดและระยะเวลาที่จะฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุได้ รวมทั้งจะมีระยะเวลาที่จะต้องกินยาจนกำจัดเชื้อที่เป็นสาเหตุได้หมด โดยที่การรักษาแต่ละโรคจะมีการกำหนดขนาดยาและระยะเวลาการรักษาต่างกัน ทั้งนี้แพทย์และเภสัชกรจะเป็นผู้บอกให้ได้ว่าจะกินขนาดเท่าไร เป็นเวลานานเท่าไร

9. ถ้ากินยาไม่ครบ จะมีผลอย่างไร
หากกินยาไม่ครบ ทำให้มีโอกาสที่การรักษาจะไม่ได้ผล หรือเกิดการกลับเป็นโรคนั้นใหม่ และเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุอาจจะเปลี่ยนเป็นเชื้อดื้อยา ทำให้ต้องใช้ยาที่แพงขึ้นในการรักษา หรือรักษาได้ยากขึ้น
แต่หากว่า การกินยาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ แล้วมีอาการผิดปกติ เช่น มีผื่นลมพิษ ควรจะหยุดยาแล้วรีบไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อให้คำแนะนำหรือเปลี่ยนเป็นยาชนิดอื่นๆ

10. ที่ว่าดื้อยาหมายถึงอะไร ปัญหาการดื้อยามีความสำคัญอย่างไร มีทางป้องกันอย่างไรบ้าง
ในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อนั้น การดื้อยาหมายถึงการที่เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยดื้อต่อยาที่เคยใช้รักษาได้ผล การรักษาที่เกิดจากการติดเชื้อดื้อยา ส่วนใหญ่จะต้องใช้ยาที่ราคาแพงขึ้นอีกมาก เช่น การรักษาฝีจากการติดเชื้อที่ไม่ดื้อยารักษาด้วยยา คล็อกซาซิลิน ซึ่งรักษาได้ด้วยการกินยา มีค่ารักษาประมาณ ๑๖o บาท แต่ถ้าเชื้อดื้อยาดังกล่าว ต้องใช้ยาฉีดในการรักษา ซึ่งมีราคาแพงถึง ๔๔,๘oo บาท และยังต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลอีกด้วย และในบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้ยาที่มีอันตรายกว่ายาเดิม หรือในบางครั้งก็ทำให้ไม่มียาที่ใช้รักษาการติดเชื้อดังกล่าวได้
การป้องกันการดื้อยานั้น ทำได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคนั้นจริง ไม่ใช้ยาพร่ำเพรื่อเกินจำเป็น และถ้าโรคนั้นจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา จะต้องรักษาด้วยชนิดและขนาดยาที่ถูกต้องและครบตามระยะเวลาที่ควรจะเป็น ชนิดของยาที่ถูกต้องคือยาที่มีผลต่อเชื้อโรคน้อยที่สุด แต่ต้องได้ผลต่อเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรค ดังนั้น ในการใช้ยาปฏิชีวนะควรปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์ที่มีความรู้ดีทางด้านโรคติดเชื้อ จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

11. ยานี้มีอันตรายอื่นๆ อะไรอีกบ้าง
อันตรายอื่นๆจากยาปฏิชีวนะ แตกต่างกันตามชนิดของยา ที่สำคัญคือ ยาเตตราไซคลีนเป็นอันตรายต่อการเจริญของกระดูกและฟันของเด็กอายุน้อยกว่า ๘ ปี ยาคลอแรมอาจทำให้ไขกระดูกฝ่อ ยาเพนิซิลลิน อะม็อกซีซิลลิน หรือแอมพิซิลลิน อาจทำให้เกิดลมพิษ หรือช็อกจากการแพ้ยา ยาเจนตาไมซิน คานาไมซิน อาจทำให้เกิดภาวะไตวายหรือหูหนวกได้ ยาทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอันตรายได้ทั้งนั้น แม้ว่าโอกาสจะมากน้อยต่างกันบ้าง ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือใช้ยาเฉพาะกรณีที่จะได้รับประโยชน์หรือทำให้หายโรค ซึ่งจะคุ้มกับความเสี่ยงอันตรายจากยาหากจะเกิดขึ้น และที่ดีที่สุดคือควรจะปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่มีความรู้ก่อนจะใช้ยาปฏิชีวนะ

12. คนที่มีประวัติการแพ้ยา จะต้องระมัดระวังในการใช้ยานี้อย่างไรบ้าง
คนที่มีประวัติการแพ้ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพ้ยาที่ทำให้เกิดผื่นลมพิษ  หรือช็อก จะต้องงดการใช้ยาที่แพ้และยาอื่นๆในกลุ่มเดียวกันควรจะให้แพทย์เขียนบันทึกไว้สำหรับติดตัวว่าแพ้ยาอะไรอย่างชัดเจน ระบุชื่อยาที่ถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการแพ้ยา โดยขอให้ผู้ที่สั่งยาที่แพ้ให้เป็นคนเขียนให้ เพื่อที่จะได้ชื่อยาที่แน่นอน และต้องแจ้งให้แพทย์ที่จะทำการรักษาต่อไปทราบทุกครั้งว่าแพ้ยาอะไร รวมทั้งเมื่อไปทำฟันด้วย

13. ยาปฏิชีวนะใหม่ ดีกว่าชนิดเก่าจริงหรือไม่
ไม่จริงเสมอไป ส่วนใหญ่แล้วยาปฏิชีวนะชนิดใหม่จะมีประโยชน์เมื่อได้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาขึ้น เลยต้องใช้ยาที่มีมาใหม่และเชื้อยังไม่ทันดื้อยา แต่เมื่อใช้อย่างไม่ระมัดระวังกันไม่นานเชื้อก็ดื้อต่อยาที่มีมาใหม่ ทำให้ใช้ไม่ได้ผลอีก ในขณะที่ค่ารักษาด้วยยาใหม่ๆแพงกว่ายาชนิดเก่าหลายเท่า และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันเราไม่สามารถหายาใหม่กว่านี้มาช่วยรักษาการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อดื้อยาได้อีกแล้ว

ถ้าเชื้อไม่ดื้อยาแล้ว ยาเก่าดีกว่ายาใหม่เพราะราคาถูกกว่ามาก ผลการรักษามักจะไม่ต่างกัน มีน้อยกรณีที่การใช้ยาใหม่ทำให้ผลการรักษาดีขึ้น

14. ยาปฏิชีวนะที่มีราคาแพงดีกว่าที่ราคาถูกจริงหรือไม่
ไม่จริง ราคาของยาขึ้นอยู่กับว่ายานั้นมีขายมานานแล้วหรือยัง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพในการใช้รักษา ยาที่เพิ่งออกมาใช้ใหม่ๆ จะรวมค่าใช้จ่ายในการค้นคิดหายาและค่าโฆษณาให้เกิดการใช้ยาเข้าไปในราคายา ยาจึงมีราคาแพง แต่ยาที่มีใช้มานานแล้ว จะไม่สิ้นเปลืองค่าโฆษณา รวมทั้งสามารถผลิตได้โดยผู้ผลิตอื่นๆ นอกจากบริษัทผู้ค้นพบยาทำให้ต้นทุนยาลดลง

15. ในการเลี้ยงสัตว์จะต้องใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อสัตว์ป่วย มีโอกาสที่ยานี้จะตกค้างในเนื้อสัตว์หรือน้ำนมวัวหรือไม่ และหากคนกินเข้าไปนานๆ จะเป็นอย่างไร
มีโอกาสที่ยาจะตกค้างในเนื้อสัตว์หรือน้ำนมวัวได้ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง แต่มักจะอยู่ในระดับยาต่ำมาก ถ้าคนกินยาที่ปนอยู่เข้าไป อันตรายโดยตรงอาจจะน้อย และจะมีผลให้เกิดเชื้อในลำไส้ใหญ่ของคนเปลี่ยนเป็นเชื้อดื้อยาได้ แต่ถ้าเป็นยาอันตรายและมีระดับยาสูงพอก็อาจจะก่ออันตรายได้มากกว่านั้น เช่น ยาเตตราไซคลีน ที่ค้างอยู่ในนม อาจเป็นอันตรายต่อเด็กเล็กๆ โดยมีผลทำให้ฟันแท้ที่ขึ้นมาทีหลังเป็นสีเทา ที่ถูกต้องแล้วเมื่อสัตว์ได้รับยาเพื่อรักษาการเจ็บป่วยจะต้องทิ้งระยะให้ยาหมดไปจากร่างกายของสัตว์ก่อนที่จะรีดนมหรือแปลงเป็นเนื้อสัตว์ออกจำหน่าย

ที่มา http://www.doctor.or.th/node/3961

สมุนไพรบำรุงกำลังทางเพศ

Category: Uncategorized – noum77 4:20 am

สมุนไพรบำรุงกำลังทางเพศ

ไม่ผิดครับสมุนไพรก็มีตัวยาที่บำรุงกำลังทางเพศครับพี่น้อง
“กระชาย” เป็นสมุนไพรไทย มีรสเผ็ดร้อน สารสำคัญที่เรานำมา

บริโภคกันอยู่ในรากและเหง้ากระชาย ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโต

ของเชื้อแบคทีเรียใน ลำไส้ ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ

ช่วยเจริญอาหารและแก้โรคในช่องปาก และเป็นยาอายุวัฒนะ

และรากกระชายนี้ก็ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแกง ขนมจีนน้ำยา

เพื่อดับกลิ่นคาวเนื้อและปลาเช่น ผัดเผ็ดปลาดุก แกงเผ็ดเนื้อ

แกงป่า หลนปลาร้า

แต่ที่ฮือฮากันที่สุดก็เห็นจะเป็น “กระชายดำ” สมุนไพรที่มี

สรรพคุณเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องเพิ่มพลังทางเพศ หรือที่เรียกกันว่า

“โสมไทย” เพราะมีสรรพคุณที่หลากหลาย ทั้งบำรุงกำลัง เพิ่ม

ฮอร์โมนทำให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น แก้ปวดเมื่อย ขับปัสสาวะ

ขับลม รักษาโรคความดันโลหิตสูงขยายหลอดเลือดหัวใจ โรคเกาต์

โรคกระเพาะอาหาร สตรีประจำเดือนมาไม่ปกติ รวมถึงการขับผิว

พรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล นิยมนำไปผสมเหล้าดื่มเป็นยาดอง

หรือจะหั่นเป็นชิ้นๆ ตากแห้งแล้วต้มน้ำร้อนดื่มแทนน้ำหรือน้ำชาก็ได้

เช่นกัน รู้อย่างนี้แล้ว คราวนี้ก็คงไม่ต้องพึงยาแผนปัจจุบัน ให้มาก

เกินไปซึ่งมีผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว

 

ประเทศไทยเรามีสมุนไพรมากมาย ที่ช่วยบำรุงสุขภาพ ฉะนั้นหัน

กลับมาทานอาหารแบบไทยๆ ที่มากด้วยคุณค่าและประโยชน์ต่อร่าง

กายดีกว่า อาหารตามแบบต่างประเทศที่มีแต่จะทำให้ร่างกายอ้วน

เป็นเหยื่อของโรคหลายๆชนิด เช่น ความดัน เบาหวาน และโรคอ้วน

เป็นต้น

สมุนไพรดับร้อนในร่างกาย

Category: Uncategorized – noum77 4:18 am

สมุนไพรดับร้อนในร่างกาย

น.พ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงดูแลสุขภาพในช่วงหน้าร้อนว่า ช่วงเปลี่ยนถ่ายอากาศจากหนาวมาร้อน ร่างกายคนเราไม่สามารถปรับเข้ากับสภาพแวดล้อมได้จึงเกิดภาวะเสียสมดุล มักจะมีอาการป่วยขึ้นมาได้

 

บางคนอาจเกิดอาการภาวะขาดน้ำและเกลือแร่จากการเสียเหงื่อในปริมาณมาก จากการทำงานกลางแจ้งก็ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียได้ ขอแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพในหน้าร้อนแบบไทยที่ปลอดภัยและประหยัด ตามหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย

 

 

โดยยึดหลักความสมดุลทั้ง 4 ธาตุในร่างกาย คือดิน น้ำ ลม ไฟ คือเครื่องดื่มตำรับ “ตรีผลา” ประกอบด้วย สมุนไพรที่สามารถปรับธาตุทั้ง 4 ให้สมดุล ได้แก่ สมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม

วิธีการทำโดยใช้สมุนไพรทั้งสามในอัตราส่วนที่เท่ากัน นำมาต้มให้เดือด และเคี่ยวจนมีสีของสมุนไพรออกมา ใส่เกลือเล็กน้อยเพื่อเสริมเกลือแร่ จากนั้นปรุงรสตามชอบใจ

 

น.พ.นรากล่าวต่อว่า นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีรสขม เพราะตามตำราโบราณรสขมช่วยดับพิษร้อนได้ จึงแนะนำให้ทานผักมากๆ ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น น้ำมะระ ใบบัวบก หรือจับเลี้ยง ส่วนอาหารที่มีรสขม เช่น ยอดมะระสด หรือต้มจิ้มน้ำพริก สะเดาน้ำปลาหวาน หรือแกงขี้เหล็กปลาย่าง รับประทานมื้อเย็นจะช่วยให้หลับสบาย และช่วยให้ระบบขับถ่ายสะดวกขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

น้ำผึ้งยาเเก้ไอที่ดีที่สุด

Category: Uncategorized – noum77 4:13 am

วิจัยพบน้ำผึ้งแท้แก้ไอได้ดีกว่ายา

 

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากนครชิคาโกประเทศสหรัฐอเมริกาว่ามีงานวิจัยล่าสุดศึกษาพบว่าน้ำผึ้งแท้สามารถบรรเทาอาการไอจากหวัดในเด็กได้ดีกว่ายาแก้ไอที่มีจำหน่ายตามร้านขายยาและใช้กันบ่อย ๆ เสียอีก

“น้ำผึ้งอาจจะกลายมาเป็นทางเลือกในการรักษาอาการไอและนอนไม่หลับในเด็กที่ป่วยเป็นหลอดลมส่วนบนติดเชื้อ” ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนน์ซิลเวเนีย สเตท ซึ่งทำการวิจัยนี้กล่าว

ทั้งนี้การวิจัยนี้เป็นการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณวิจัยจากบอร์ดน้ำผึ้งแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากภาคอุตสาหกรรมและอยู่ภายใต้กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา

โดยเป็นการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการไอของน้ำผึ้งกับยาแก้ไอสามัญ dextromethorphan หรือ DM ซึ่งเป็นยาแก้ไอสูตรที่อนุญาตให้จำหน่ายตามร้านขายและใช้กันมากที่สุด

อย่างไรก็ดีนักวิจัยกล่าวว่าน้ำผึ้งนั้นไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบและน้ำผึ้งที่ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนน์ซิลเวเนีย สเตทนี้ศึกษาเป็นน้ำผึ้งชนิดสีเข้มซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระด้วย และนักวิจัยระบุว่าเหตุที่น้ำผึ้งสามารถช่วยบรรเทาอาการไอได้นั้นก็เพราะว่ามันทำให้ลื่นคอและรู้สึกผ่อนคลายที่ลำคอ

ส่วนยาแก้ไอดีเอ็มนั้นอันที่จริงแล้วทั้งสมาคมวิชาการด้านกุมารเวชศาสตร์อเมริกันและราชวิทยาลัยแพทย์โรคทรวงอกอเมริกันก็ไม่ได้แนะนำให้ใช้เพื่อบรรเทาอาการไอในเด็กเลยแต่อย่างใด และยิ่งไปกว่านั้นพบว่ามีปัญหาเรื่องการนำยาแก้ไอชนิดนี้ไปใช้ในทางเสพติดซึ่งมักจะนิยมกันในหมู่ผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่น

 

ผลการวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของน้ำผึ้งล่าสุดนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ด้านกุมารเวชและวัยรุ่น The Archives of Pediatric and Adolescent Medicine ซึ่งเป็นการตีพิมพ์เผยแพร่เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่คณะกรรมการที่ปรึกษารัฐบาลสหรัฐฯได้ให้คำแนะนำว่า ยาแก้ไอและหวัดที่ไม่ได้สั่งจ่ายโดยแพทย์ กล่าวคือประเภทที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา ไม่ควรนำไปใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ จนกว่าจะมีการพิสูจน์ทราบถึงประสิทธิภาพในการใช้กับเด็กโดยเฉพาะ

คำแนะนำดังกล่าวมีออกมาหลังจากที่กุมารแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลุ่มหนึ่งได้เข้าชื่อกันเรียกร้องให้องค์การอาหารและยาหรือเอฟดีเอของสหรัฐฯ ออกมาจำกัดการขายยาแก้ไอเพื่อการใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ เพราะก่อนหน้านั้นพบว่ามีรายงานกรณีเสียชีวิต ชัก และเห็นภาพหรือได้ยินเสียงไปเอง รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ในคนไข้เด็กที่รับประทานยาแก้ไอและหวัด

สำหรับการศึกษาล่าสุดนี้ทำในคนไข้จำนวน 105 คนซึ่งเป็นคนไข้ที่มีอายุระหว่าง 2 ขวบถึง 18 ปีที่ป่วยเป็นทางเดินหายใจช่วงบนติดเชื้อหรืออักเสบมาเป็นเวลา 7 วันหรือมากกว่านั้น โดยคนที่ได้รับการรักษาด้วยการให้ดื่มน้ำผึ้งจะได้รับน้ำผึ้งในปริมาณ 10 มล. หรือเท่า ๆ กับ 1 ช้อนโต๊ะก่อนเข้านอน 30 นาที ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งได้รับยาแก้ไอ ดีเอ็ม และอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มควบคุมไม่ได้ให้อะไรเลย

ผลการทดลองปรากฏว่ากลุ่มที่มีอาการดีขึ้นเร็วที่สุดคือกลุ่มที่ได้รับน้ำผึ้ง ตามมาด้วยกลุ่มที่ได้รับยาดีเอ็ม ในขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้รับอะไรเลยหายช้าที่สุดในบรรดา

ส้มตำมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร

Category: Uncategorized – noum77 4:10 am

ส้มตำมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร

 

ส้มตำเป็นอาหารยอดนิยมประเภทหนึ่ง  ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีรสชาติอร่อยและถูกปากคนไทยหลายๆ คน ทั่วทุกภาคของประเทศไทย   แต่จะมีใครรู้บ้างว่านอกจากความอร่อยแล้ว  ส้มตำมีประโยชน์อย่างอื่นอีกหรือไม่

ส้มตำนั้นเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา คุณค่าจากพืชสมุนไพรที่เป็นองค์ประกอบในส้มตำ  อาทิ

  มะละกอ เป็นยานำบำรุงน้ำนม ขับพยาธิ แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง
มะเขือเทศ รสเปรี้ยว เป็นผักที่ใช้แต่งสีและกลิ่นอาหาร ช่วยระบาย บำรุงผิว
มะกอกรสเปรี้ยว ฝาด หวาน แก้โรคธาตุพิการเพราะน้ำดีไม่ปกติแก้บิด แก้โรค เลือดออกตามไรฟัน ผลสุกทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ

พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย

กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรค ผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด
มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลมน้ำในลูกรสเปรี้ยวแก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือด ออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
ผักแกล้มต่างๆ ได้แก่ ถั่วฝักยาว รสมันหวาน ช่วยกระตุ้นการทำงานของกะ เพาะลำไส้ บำรุงธาตุดิน

กะหล่ำปลีรสจืดเย็น กระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ บำรุงธาตุไฟ  ผักบุ้ง รสจืดเย็น ต้มกินไข้เป็นยาระบายทำให้อาเจียน เนื่องจากพิษของฝิ่นและ สารหนู กระถิน รสมัน แก้ท้องร่วง สมานแผล ห้ามเลือด ถ่ายพยาธิ

ขอบคุณที่มาblogไอติม

สมุนไพรเเก้โรคหัวใจอย่างได้ผล

Category: Uncategorized – noum77 4:08 am

เห็ดหลินจือกับพิกัดเกสรทั้ง 5

   ในหัวข้อที่แล้วได้พูดถึงเห็ดหลินจือกับโรคหัวใจ ที่ชาวจีนโบราณรู้จักใช้เห็ดหลืนจือบำรุงและรักษาโรคหัวใจ ตั้งแต่ต้นสมัยราชวงศ์หมิงราว  630  ปีแต่ในหัวข้อนี้จะขอพูดถึงตำรับยา เห็ดหลินจือกับพิกัดเกสรทั้ง  5  ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีความลงตัวกันระหว่าง สมุนไพรของไทยกับสมุนไพรของจีน
 และสมุนไพรทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างมีสรรพคุณโบราณที่ตรงกันในเรื่องของโรคหัวใจ สำหรับตำรับยานี้เป็นการนำเอา เห็ดหลืนจือ ซึ่งเป็นสมุนไพรของจีนมาใช้ร่วมกันกับ  พิกัดเกสรทั้ง 5  ซึ่งเป็นสมุนไพรไทย  หมอแผนโบราณของไทยใช้บำรุงและรักษาโรคที่เกี่ยวกับหัวใจมานานหลายร้อยปี  เช่นเดียวกันกับเห็ดหลินจือของจีน  และยังเป็นที่ยอมรับใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน
พิกัดเกสรทั้ง  5  ประกอบด้วย
ดอกมะลิ    ดอกพิกุล    ดอกสารภี    ดอกบุนนาค    เกสรบัวหลวง
มีสรรพคุณเฉพาะอย่างดังนี้
ดอกมะลิ กลิ่นหอม   รสเย็น   บำรุงหัวใจ   แก้ร้อนในกระหายน้ำ   แก้โรคตา
ดอกพิกุล กลิ่นหอม   รสเย็น   บำรุงหัวใจ  แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ   แก้ไข้   แก้ปวดหัว    เจ็บคอ  แก้ร้อนใน  แก้ไข้จับสั่น    แก้ไข้หมดสติ      แก้ไข้เพ้อคลั่ง
 ดอกสารภี กลิ่นหอม     รสขม    บำรุงหัวใจ  เป็นยาหอมชูกำลัง   เจริญอาหาร  บำรุงเส้นประสาท  แก้ลมวิงเวียน   หน้ามืดตาลาย  แก้โลหิตพิการ
 ดอกบุนนาค กลิ่นหอม รสสุขุม บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต แก้กลิ่นตัว    แก้ไข้    แก้กระหายน้ำ   แก้ตามัว   แก้ลมหาวเรอ แก้ลม  ทำให้หูอื้อ
 เกสรบัวหลวง กลิ่นหอม รสฝาด บำรุงหัวใจ เป็นยาชูกำลัง  ขับชีพจร  แก้ลม
สรุปสรรพคุณโดยรวม ของพิกัดเกสรทั้ง 5  เป็นยาหอม  บำรุงหัวใจ   บำรุงโลหิต   แก้ลมวิงเวียน   หน้ามืดตาลาย    แก้โรคตา  แก้ร้อนในกระหายน้ำและแก้ไข้ พิกัดเกสรทั้ง 5 จัดอยู่ในกลุ่มยารสสุขุม  ใช้บำรุงและรักษาโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ  เป็นยาที่ปู่ย่าตายายของเราต่างก็ใช้กันมาช้านานและยังใช้กันต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้     ปัจจุบันกระทรวงสาธารณะสุขอนุญาตให้สมุนไพรเห็ดหลินจือและพิกัดเกสรทั้ง 5 ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับ  “ ยาสามัญประจำบ้าน ” สรรพคุณบำรุงร่างกาย เป็นยาสกัดที่มีเห็ดหลินจือบวกกับพิกัดเกสรทั้ง 5 บรรจุอยู่ในแคปซูลเดียวกันที่มีคุณค่าน่าใช้สำหรับท่านที่สนใจก็ใช้ได้เพราะเป็น “ แพทย์ทางเลือก ”  ( Alternative  medicine )  ที่สามารถทำได้

ยาอะไรกินเเล้วชะลอความเเก่หนุ่มยาวสาวนาน

Category: Uncategorized – noum77 4:03 am

ยาอะไรกินเเล้วชะลอความเเก่หนุ่มยาวสาวนาน

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์ของสารที่มีอยู่ในกระชาย
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในเหง้ากระชายมีน้ำมันหอมระเหยแต่พบในปริมาณน้อย (ราวร้อยละ 1-3) น้ำมันหอมระเหยของกระชายประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิด เช่น 1.8-cineol,camphor, d-borneol และ methyl cinnamate
น้ำมันหอมระเหยที่พบส่วนน้อย ได้แก่ d-pinene, zingiberene, zingiberone, curcumin และ zedoarin
นอกจากนี้ ยังพบสารอื่น ได้แก่ กลุ่มไดไฮโดรซาลโคน boesenbergin A กลุ่ม ฟลาโวน ฟลาวาโนน และฟลาโวนอยด์ (ได้แก่ alpinetin, pinostrobin) และ pincocembrin และกลุ่มซาลโคน (ได้แก่ ๒, ๔, ๖-trihydroxy chalcone และ cardamonin)
ฤทธิ์แก้ปวดมวนในท้อง แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ลมจุกเสียด น้ำมันหอมระเหยของกระชายมีฤทธิ์บรรเทาอาการหดตัวของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อของระบบทางเดินอาหาร
สารสกัดกระชายมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย E.coli ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการแน่นจุกเสียด นอกจากนั้นสาร cineole มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ จึงลดอาการปวดเกร็ง
ฤทธิ์แก้โรคกระเพาะ งานวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยแห่งรัฐอิลลินอยส์พบว่า สารสกัดรากกระชายและสาร pinostrobin มีฤทธิ์ต้านการเจริญของแบคทีเรียกรัมลบ ชื่อ Helicobacter pylori ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
นอกจากนี้ เมื่อใช้สารสกัดจากรากกระชายรักษาอาการแผลในกระเพาะอาหารในสัตว์ทดลอง พบว่าสารสกัดดังกล่าวนอกจากจะฆ่าเชื้อสาเหตุของโรคแล้วยังมีฤทธิ์ลดการอักเสบของแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากมีรายงานว่าสาร pinostrobin จากพืชตระกูลพริกไทย (Piper methylsticum) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบทั้งในระบบ COX-I และ COX-II จึงอาจอธิบายฤทธิ์ที่เสริมกันได้ดังกล่าว
ฤทธิ์แก้ตกขาว กลาก เกลื้อน งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า สาร pinostrobin มีฤทธิ์ต้านการเจริญของเชื้อราสาเหตุโรคกลาก 3 ชนิด คือ Trichophyton mentagrophytes, Microsporum gypseum และ Epidermophyton floccosum และต้านการเจริญของเชื้อ Candida albican ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการตกขาว
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในครั้งนี้จึงทำให้เกิดความเชื่อมั่นในองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยอีกครั้งหนึ่ง
ฤทธิ์เป็นยาอายุวัฒนะ การมีอายุที่ยืนยาวน่าจะมีองค์ประกอบอะไรบ้างในทางการแพทย์ร่างกายที่มีสุขภาพดีน่าจะไม่มีโรคหลอดเลือดแข็งตัว ระบบประสาททำงานได้อย่างดี ปราศจากโรคเบาหวาน โรคข้อเข่าเสื่อม โรคมะเร็งและตับทำงานกำจัดสารพิษได้ดี
แง่คิดทางการแพทย์ในปัจจุบันเสนอว่า การอักเสบแบบเรื้อรังเป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด ได้แก่ การเกิดความไม่เสถียรของโคเลสเตอรอลที่สะสมภายในผนังหลอดเลือดทำให้เกิดอาการหัวใจวาย อาการอักเสบเรื้อรังกัดกร่อนเซลล์ประสาทในสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หรืออาจกระตุ้นการแบ่งเซลล์ของเซลล์ที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการแปรสภาพเป็นเซลล์มะเร็ง จึงมีการศึกษาผลจากการให้สารต้านการอักเสบแก่ผู้ป่วยด้วยโรคเหล่านี้ ตัวอย่างได้แก่ การให้แอสไพรินซึ่งมีฤทธิ์ต้านอักเสบแก่ผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูง และการศึกษาที่พบว่า การบริโภคน้ำมันปลาและแอสไพรินซึ่งต่างมีฤทธิ์ลดไซโตไคน์ที่มาจากการอักเสบจะลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ จึงอาจคะเนได้ว่า เนื่องจากรากกระชายมีสาร pinostrobin และ ๕, ๗-dimethoxyflavone ที่มีรายงานว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ การบริโภคกระชายเป็นประจำอาจได้ผลคล้ายการบริโภคแอสไพริน และอาจป้องกันการเกิดโรคที่มีสาเหตุจากการอักเสบเรื้อรังในร่างกายได้
การทดสอบเบื้องต้นของการใช้สารสกัดจากกระชายต้านการเสื่อมของกระดูกอ่อนในหลอดทดลอง วิจัยโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยความร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ผลการทดลองขั้นต้นเป็นที่น่าพอใจ ถือเป็นการตอกย้ำว่า ภูมิปัญญาไทยใช้ได้ผลในเชิงวิทยาศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง
สาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งคือ การที่เซลล์ได้รับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ อันเกิดจากกระบวนการปกติภายในเซลล์ อนุมูลอิสระมีอิเล็กตรอนวงนอกขาดหายไปจึงไวต่อการทำปฏิกิริยาเคมี นอกจากนี้ การได้รับควันบุหรี่หรือรังสี ก็อาจก่อให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระได้ ในร่างกายมนุษย์อนุมูลอิสระที่พบมากที่สุดคือ อนุมูลอิสระของออกซิเจน เมื่อทำปฏิกิริยาเคมีเพื่อเติมอิเล็กตรอนของตัวเองให้ครบจะทำความเสียหายให้กับดีเอ็นเอและโมเลกุลอื่นๆ เมื่อเวลาผ่านไปความเสียหายดังกล่าวจะซ่อมแซมไม่ได้อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งขึ้น สารต้านอนุมูลอิสระคือสารที่ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลางไม่ตึงอิเล็กตรอนไปจากโมเลกุลอื่นในเซลล์
ที่มา siamsouth.com

ตะไคร้มีสรรพคุณรักษาโรคมะเร็งได้

Category: Uncategorized – noum77 4:02 am

ตะไคร้มีสรรพคุณรักษาโรคมะเร็งได้

สมุนไพรที่ใช้ในอาหารไทยและใช้กันมากในเครื่องแกง เช่น พริกแห้ง พริกสด พริกไทย หัวหอมแดง กระเทียม ข่า ตะไคร้ เครื่องแกงบางอย่างจะใส่กระชาย ขมิ้น ขิง รากผักชีและเครื่องแกงบางอย่าง จะใส่ทั้งสมุนไพรและเครื่องเทศ คือ ลูกผักชี ยี่หร่า กานพูล อบเชย ลูกจันทน์ หรือดอกจันทน์ การใช้สมุนไพรและเครื่องเทศ ในรูปของน้ำพริกแกง จะมองไม่เห็นจะได้แต่กลิ่นในการใช้ ต้องใช้อย่างมีสัดส่วนถ้ามากเกินไปจะทำให้กลิ่นรสเป็นยา ถ้าใช้น้อยไปอาหารนั้นจะอ่อนเครื่องแกงไม่หอม นอกจากนี้สมุนไพรที่ใส่ในอาหารโดยตรง เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กระชาย หอม กระเทียม ใบสะระแหน่ พริกแห้ง พริกสด กระชาย

มื่อใดที่เกิดมีอาการวิงเวียนศีรษะ ปนคลื่นไส้อยากอาเจียน แม้จะรู้หรือไม่รู้สาเหตุ แต่อยากเร่งแก้ปัญหาเวียนหัวนั้นให้บรรเทาลงไปก่อน สามารถนำพืชสมุนไพรใกล้ตัวคู่ครัวไทย อย่าง ‘ตะไคร้‘ ที่นิยมนำไปเป็นส่วนผสมของเมนูอาหารไทยหลากหลาย อาทิ ต้มยำ ต้มข่า มาแก้อาการ ทดแทนยาดม ยาลม ยาหม่องได้

วิธีนำตะไคร้มาใช้แก้เวียนหัวนั้นแสนง่าย เพียงนำตะไคร้มาบุบตรงส่วนต้นพอแหลกให้กลิ่นโชยออกมาได้ จากนั้นนำมาสูดดมจากต้นโดยตรง หรือใช้ผ้าขาวบางห่อก่อนดม ก็ช่วยบรรเทาอาการได้แล้ว โดยกลิ่นของตะไคร้นั้นจะมีความหอมชัดเจนเฉพาะตัว คนโบราณอธิบายกลิ่นของตะไคร้ว่า กลิ่นหอม รสปร่า แต่ก็เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยสำหรับคนไทย

 

ปลูกตะไคร้ติดบ้านไว้ไม่เสียหาย เพราะไม่ได้มีดีแค่เติมกลิ่นสร้างรสชาติในอาหารเท่านั้น แต่ตะไคร้ยังช่วยป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย ยืนยันแล้วจากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า ตะไคร้สกัดสามารถยับยั้งอาการเริ่มแรกที่นำไปสู่โรคมะเร็งลำไส้ คือ หลุมในลำไส้ และการผิดเพี้ยนของดีเอ็นเอ การรักษาอาการเหล่านี้จะส่งผลดีแก่คนไข้มาก เพราะเป็นการรักษาก่อนที่เนื้อร้ายจะก่อตัว

จากความสำเร็จในการทดลองในหนูพบว่า ตะไคร้สกัดสามารถลดอาการผิดปกติในลำไส้ได้มากกว่า 60 % ทำให้นักวิจัยตั้งสมมุติฐานว่า ตะไคร้อาจมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ของแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งทำให้ร่างกายดูดซึมสารก่อมะเร็งน้อยลงได้ด้วย

 

นอกจากนี้ยังมีอีกวิธี ใช้เหง้าหรือลำต้นตะไคร้สดที่ค่อนข้างแก่ ประมาณ 1 กำมือ ทุบพอแหลกแล้วนำไปต้มกับน้ำ เสร็จแล้วดื่มเฉพาะน้ำที่ต้มกับตะไคร้นั้น อาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้จะบรรเทาลง ใครที่เมารถ เมาเรือ นำวิธีเหล่านี้ไปใช้ด้วยได้.

 

ที่มา samunpri.com

สมุนไพรช่วยให้เจริญอาหาร

Category: Uncategorized – noum77 4:01 am

สมุนไพรช่วยให้เจริญอาหาร

เเต่ถ้าได้อย่างใสรูปผมไม่เบื่อเเน่ๆครับ ลองอ่านกันดูครับ
       อาการเบื่ออาหาร (Anorexia Nerversa) อาจมีสาเหตุเริ่มต้นจากความเครียด อาการป่วยเรื้อรัง การพักผ่อนไม่เพียงพอหรือการอดอาหารเพื่อรูปร่างที่สวยงามหากทำต่อเนื่องก็อาจทำให้กลายเป็นโรคเบื่ออาหารได้ นอกจากนี้พฤติกรรมการกินอาหารซ้ำๆกันทุกวันก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเบื่ออาหารได้เช่นกัน
สมุนไพรที่รักษาอาการเบื่ออาหารคือ บอระเพ็ด (Heart-Leaved Moonseed) ส่วนที่นำมาใช้คือเถาหรือลำต้นสด บอระเพ็ดเป็นสมุนไพรที่มีรสขมจัด สรรพคุณที่เด่นของบอระเพ็ดคือแก้ไข้ทุกชนิด ช่วยระงับความร้อนและที่จะกล่าวถึงในที่นี้คือช่วยเจริญอาหารแก้อาการเบื่ออาหาร วิธีทำให้นำเถาหรือต้นบอระเพ็ดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้งแล้วบดให้เป็นผงผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนใช้กินก่อนอาหารครั้งละ 3-4 เม็ด
ถ้าชอบแบบลูกทุ่งหน่อยก็เอาเถาหรือต้นบอระเพ็ดยาวประมาณ 2-3 คืบมาโขลกจนแตกแล้วคั้นเอาแต่น้ำมาดื่มหรือจะเอาไปต้มกับน้ำสะอาด ต้มจนเหลือน้ำ 1 ใน 3 เติมน้ำผึ้งเล็กน้อยใช้ดื่มก่อนอาหาร เช้า-เย็น หรือเวลาที่มีอาการเบื่ออาหาร ข้อควรระวังคือไม่ควรใช้สมุนไพรบอระเพ็ดติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะอาจส่งผลต่อการทำงานของตับและไตได้
สะเดาบ้าน (Neem Tree) เป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่รักษาอาการเบื่ออาหารได้ ส่วนที่นำมาใช้คือ ดอกและยอดอ่อน สรรพคุณของสะเดาบ้านคือช่วยเจริญอาหารได้ดีเนื่องจากมีสาร Nimbin ที่มีรสขมช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากขึ้นทำให้กินอาหารได้มากขึ้น วิธีใช้ให้นำยอดสะเดาและดอกสะเดามากินสดๆกับน้ำพริกหรือจะลวกก่อนแล้วกินกับน้ำปลาหวานคู่กับปลาย่างก็ได้
อาการเบื่ออาหารอาจแก้ไขได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร การนอนและการทำงาน อย่าให้ชีวิตพบกับความจำเจและความเครียด อาจลองปรุงแต่งรสชาติอาหารให้แตกต่างจากที่เคยกินบ้างหรือเติมรสเปรี้ยวหวานจากธรรมชาติให้กับลิ้นโดยการกินผลไม้บ้าง บางทีการลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่กล่าวมาแล้วจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการเบื่ออาหารได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสมุนไพรเลยก็ได้
ของคุณบทความจาก
ที่มา http://thai-herbs-for-goodhealth.blogspot.com
Free Web Hosting