สมุนไพรแก้หวัดเเก้ไข้
สมุนไพรลดไข้ ได้แก่
ชิงช้าชาลี ใช้เถาสดยาว 2 นิ้วต่อครั้ง ต้มน้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหาร วันละ 1-2 ครั้ง หรือเมื่อมีอาการ
ที่มา http://www.samunpri.com/modules.php?…ealth&func=kai
สมุนไพรแก้หวัดเเก้ไข้
สมุนไพรบํารุงผิวหน้าให้ใสให้หน้าจับ
สมุนไพรไทยบำรุงสมอง
สมุนไพรรักษา โรคความดันสูงนะครับซึ่งเมื่อใครมีโรคนี้แล้ว ที่นี้โรคหัวใจก็จะตามหาด้วยเช่นกันนะครับ จะทำอย่างไรดีหนอ. ซึ่งโรคเหล่านี้นั้นมักจะเกิดกับคนที่มีสรีระ อ้วน ใหญ่นะครับพอเป็นไปนานๆกับซูบผอมลงทันทีเลยนะครับนี้คือสภพาที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนนะครับ มารับยาพิเศษ สมุนไพรนี้ไปทานกันก็แล้วกันได้ผลอย่างไร? เข้ามาโพสให้ หมอยา(Redrose19) นี้ได้ชื่นใจด้วยนะครับ.
(ยาแก้ความดันสูง)
สูตรแรกเริ่มเลยนะครับ นั้นก็คือให้ซื้อ ใบตั่งโอ๋ หรือ คึ่นช่าย นะมาสัก ๑ ขีด หรือ ๑ กิโลก็ได้นะครับ แล้วนำมาต้ม ใส่น่ำลงไปสัก ๑ ลิตร ก็ได้นะครับ ให้เดือดแล้วก็ดูด้วยนะครับถ้าน้ำนั้นเขียวมากเกินไปก็เติมน้ำลงไปสักนิดนะครับ ให้น้ำต้มนั้นออกเป็นเขียวหยก นะครับ แล้วก็ปิดแก๊สเสียนะครับ แล้วก็นำมากรอกใส่ลงในขวดปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นแล้วค่อยมาดื่มกินทนนั้เปล่านะครับ ทุกๆวันนะครับ วันละกี่มื้อก็แล้วแต่ถ้าท่านต้องการที่จะให้หายนะครับ.
สูตรที่ ๒ คือให้นำใบตั่งโอ๋ นั้นกับปลาช่อน๑ ตัวนะครับ มาทำการนึ่งปลาช่อนผสมใบตั่งโอ๋ นะครับ แล้วรับประทานทั้งปลาช่อนและใบตั่งโอ๋ นั้นให้หมดเลยนะครับ ทำครั้งละ ๑ มื้อ ก็พอแล้วนะครับ อาทิตย์ละครั้ง เพียง ๕ เดือนนะครับ ก็จะหายทุเลาลงและรักษาโรคหัวใจได้ด้วยนะครับ.
ในขณะที่รับประทานนั้นก็อย่าลืมหมั่นตั้งจิตระลึกถึงคุณผู้ให้สูตรยานี้ และ อธิษฐานจิตถึงเสด็จเตี่ย(หมอพร) ด้วยนะครับ เมื่อท่านที่นำแล้วหายพอทำให้ร่างกายนั้นดีขึ้นนั้นก็อย่าลืมเดินทางไปทำบุญที่วัดแล้วก็จุดประทัดถวายเสด็จเตี่ย ด้วยนะครับ แล้วถ้าดีขึ้นเรื่อยก็สามารถนำสูตรนี้ไปแจกจ่ายต่อไปเพื่อเป็นบุญกุศลไปได้เลยนะครับ ซึ่งพี่กุหลาบสีแดง ได้พิจารณาผลที่ปรากฏมาแล้วนะครับจากคนไกล้ชิดนะครับโดยไม่สงวนสิทธิ์ในตำรายาชุดนี้ซึ่งมีโรคเบาหวาน ที่ทดลองคือให้คนที่เป็นเบาหวานนั้นรับประทานแห้ม นะครับ หายคือระดับน้ำตาลในเส้นเลือดนั้นลดลงนะครับ ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อไปได้นะครับ.
ที่มา http://princeabhakara.forumotion.net
สมุนไพรไทยรักษาโรคเบาหวาน
-การักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ โดยการควบคุมการรับประทานอาหาร ลดอาหารประเภท แป้ง น้ำตาล ไขมัน ควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใย (Fiber) เช่นผักและผลไม้เพิ่มขึ้น -ป้องการภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดจากดบาหวาน -ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ -ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย ระมัดระวังอย่าทำให้เกิดแผล สมุนไพรบำบัดและรักษาโรคเบาหวาน
อบเชย
อบเชย มีสาระสำคัญคือ (Methylhydroxy Chalcone Polymer) เมธิลไฮดรอกซี่ ซาลโคน เป็สารที่มีคุณสมบัติในการทำงานคล้ายกับฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยเพิ่มความสามารถในการสันดาปกลูโคสให้ได้ดีมากขึ้น ทำให้มีผลควบคุมระดับปริมาณน้ำตาลในเลือดให้ลดลง การรับทานอบเชยอย่างต่อเนื่อง ยังช่วยทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงขึ้น การใช้อบเชยควบคุมปริมาณระดับน้ำตาลในเลือดนั้น จะมีความปรฃลอดภัยมากกว่าการใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะสามารถรับทานได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีผลข้างเคียงกับร่างกาย ภายใน 1 วัน เราควรได้รับประทาน อบเชย อย่างน้อย 1 กรัม และควรรับทานอย่างต่อเนื่อง
บอระเพ็ด
บอระเพ็ด มี สรรพคุณทางยาคือระงับความร้อนได้ดี สามารถแก้อาการเป็นไข้ ช่วยลดคลอเรสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด ลอกรดยูริก อีกทั้งยังช่วยในการปรับสมดุลในระบบย่อยอาหารช่วยให้เจริญอาหาร ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวได้ดีขึ้น ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ คำแนะนำ การรับทานบอระเพ็ดควรทานควบคู่กับ ลูกใต้ใบ เพื่อลดพิษในตับ ลูกใต้ใบมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาว่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส ลดไข้ ช่วยยับยั้งความเป็นพิษต่อตับ ช่วยขับปัสสาวะ
มะระขี่นก
มะระขี่นกเป็นผักที่หาได้ตามพิ้นบ้านที่มีคุณค่าทางร่างกานสูงมาก คุณค่าทางอาหาร คือ ให้พลังงาน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน เส้นใย vitamin A B1 B2 C ไทอามีนและไนอาซีน สรรพคุณทางยา ลดน้ำตาลในเลือด ต้านเชื้อ HIV รักษาโรคเอดส์ ต้านเซลล์มะเร็ง แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้เป็นยาขับถ่าย มีรสขมช่วยให้เจริญอาหาร มีสารสำคุญ คือ Charantin ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและยังสามารถบำบัดรักษาโรคเบาหวานได้ ผลอ่อนมะระขี่นกมีวิตามินCสูง และเบต้าแคโรทีนสูง การทานสมุนไพรต่างๆควรศึกษาให้ดีเพราะสมุนไพรบางชนิดนำมาทานร่วมกันไม่ได้ อาจจะทำให้เกิดโทษ
สมุนไพรรักษาสิว
ลองมาดูสมุนไพรไทยรักษาสิวกันครับ เค้าว่าได้ผลดีในระดับนึงเลยครับพี่น้อง ลองใช้ดูเเล้วกันครับ เเต่ถ้าตัวไหนเราเเพ้หรืออะไรก็อย่าไปลองครับไปหาหมดโลด เเละหมอก็เลี้ยงต่อ เอ้าไม่ใช่ละ
อย่างที่เรารู้ ๆ กันว่า กลไกของการเกิดสิวนั้นมีด้วยกันหลายอย่าง เช่น อารมณ์ก็ทำให้เกิดสิวได้ เครียดมากก็สิวเห่อ อาหารบางอย่างก็ทำให้มีสิวได้เหมือนกัน เครื่องสำอางยิ่งหนักถ้าใช้แล้วแพ้ ล้างไม่สะอาด ไปอุดรูขุมขน
การดูแลใบหน้าให้สวยเปล่งปลั่งนั้น ทางทีดีเราควรจะเริ่มตั้งแต่การป้องกัน ไม่ใช่เกิดปัญหาแล้วค่อยมารักษา ซึ่งปัจจุบันทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ หันมามอบความไว้วางใจให้กับสมุนไพรกันมากขึ้น ด้วยหวังว่ามันจะไม่ทำให้เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
สมุนไพรอย่างหนึ่งที่พูดถึงกันมากในสรรพคุณของการรักษาสิวก็คือ”ว่านหางจระเข้” ซึ่งเป็นสมุนไพรจำพวกที่ใช้ใบ ภายในจะมีวุ้นใส ๆ และยางเหลือง ๆ ยางสีเหลืองตัวนี้ต้องระวัง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้าเผลอเอาไปทาจะแสบร้อน บางคนก็จะแพ้เป็นผิวผื่นคัน ซึ่งถ้าหากอยากทราบว่าเราจะแพ้หรือเปล่า ก็ให้นำว่านหางจระเข้ที่ตัดมาใหม่ ๆ ทางบริเวณท้องแขน ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที ถ้ามีอาการคัน แปลว่าผิวเราแพ้
ส่วนใหญ่เราจะเห็นเขานิยมนำว่านหางจระเข้มาทาหน้า แต่ว่านชนิดนี้จะไม่เหมาะกับคนผิวหน้าแห้ง ถ้านำมาใช้เดี่ยว ๆ จะทำให้ผิวหน้าแห้งลงไปอีก ถ้าจะนำมาใช้ให้ผสมกับน้ำมันมะกอกหรือไข่แดง คนแรง ๆ ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวนำมาพอกหน้าทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออกผิวหน้าจะใส ชุ่มชื่น แต่สำหรับคนที่ผิวมันให้นำว่านที่ตัดใหม่ ๆ ไปแช่น้ำให้ยางสีเหลืองไหลออกหมดก่อนแล้วให้ลอกเอาเฉพาะวุ้นที่อยู่ข้างในมาทาหรือพอกหน้าไว้สักพัก หน้าจะตึง รูขุมขนจะถูกบีบให้เล็กลง ทำให้ความมันบนใบหน้าลดลงได้
ส่วนใครที่เป็นสิวอักเสบ ก็ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เช่นกัน เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้ ใครที่มีความกังวลเรื่องฝ้า การใช้ว่านหางจระเข้แม้จะไม่ใช่การรักษา แต่เป็นการป้องกันที่ดี เราสามารถนำมาทาเพื่อป้องกันรังสี UV ได้ ซึ่งเมื่อใช้เป็นประจำก็จะทำให้ปัญหาเรื่องฝ้าลดน้อยลง
นอกจากว่านหางจระเข้แล้ว ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ อีกที่เราสามารถนำมาใช้บำรุงผิวหน้าได้ อย่างเช่น หอมแดง เมื่อเรานำมาฝานเป็นแว่น ๆ บาง ๆ นำไปทาบริเวณที่เป็นสิว รอยด่างดำ ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก ใช้เป็นประจำรอยสิวจะหายไป
กล้วยหอม ก็มีประโยชน์ต่อผิวพรรณเช่นกัน ถ้าเรานำกล้วยหอม 1 ผล ไปปั่นกับน้ำผึ้ง 1 ถ้วย นำมาพอกหน้าไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกจำทำให้หน้าตาผิวพรรณสดใส ส่วนมะนาว นำมาใช้ประโยชน์ในการดูแลใบหน้าได้มากทีเดียว เราใช้มะนาวล้างหน้าแทนสบู่หรือโฟมได้ หรืออาจจะใช้ไข่ขาว 1 ช้อนชา ดินสอพอง 2 เม็ดใหญ่ มะนาว 1 ลูก น้ำผึ้ง 1 ช้อน น้ำมันมะกอก1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันจะได้ครีมข้นนำมาพอกหน้า พอกตัวประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออก ทำวันเว้นวัน ไม่นาน ผิวพรรณจะใสนุ่มเนียน
ข้อมูลจาก samunpri.com
ยาลดไขมันในเส้นเลือด
ดอกคำฝอย
ส่วนที่ใช้ : ดอก เกสร เมล็ด น้ำมันจากเมล็ด
สรรพคุณ
ดอก - รสหวานบำรุงโลหิตระดู แก้น้ำเหลืองเสีย แก้แสบร้อนตามผิวหนัง
- บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท ขับระดู แก้ดีพิการ
- โรคผิวหนัง ฟอกโลหิต
- ลดไขมันในเลือด ป้องกันไขมันอุดตัน
เกสร - บำรุงโลหิต ประจำเดือนของสตรี
เมล็ด - เป็นขาถ่ายขับเสมหะ แก้โรคผิวหนัง ทาแก้บวม
- บับโลหิตประจำเดือน
- ตำพอกหัวเหน่า แก้ปวดหลังจากการคลอดบุตร
น้ำมันจากเมล็ด -ทาแก้อัมพาต และขัดตามข้อต่าง ๆ
ดอกแก่ - ใช้แต่งสีอาหารที่ต้องการให้เป็นสีเหลือง
วิธีและปริมาณที่ใช้
ชาดอกคำฝอย ช่วยเสริมสุขภาพ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด โดยใช้ดอกแห้ง 2 หยิบมือ (2.5 กรัม) ชงน้ำร้อนครึ่งแก้ว ดื่มเป็นเครื่องดื่มได้
สารเคมี
ดอก พบ Carthamin, samogenin, carthamine, safflomin A, safflor yellow, safrole yellow
เมล็ด จะมีน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว
คุณค่าด้านอาหาร
ในเมล็ดดอกคำฝอย มีน้ำมันมาก สารในดอกคำฝอย พบว่าแก้อาการอักเสบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อบางตัวได้
ในประเทศจีน ดอกคำฝอย เป็นยาเกี่ยวกับสตรี ตำรายาที่ใช้รักษาสตรีที่ประจำเดือนคั่งค้างไม่เป็นปกติหรืออาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว
มักใช้ดอกคำฝอยด้วยเสมอ โดยต้มน้ำแช่เหล้า หรือใช้วิธีตำพอกแต่มีข้อระวังคือ หญิงมีครรภ์ห้ามรับประทา
สะตอมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร
ผลผลิตของสะตอในอดีตได้จากการเก็บจากป่าและเกษตรกรปลูกแซมกับพืชหลักชนิดอื่น ๆ แต่ในปัจจุบันมีผู้นิยมรับประทานสะตอกันมากขึ้น จึงทำให้ความต้องการบริโภคสะตอมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้มีผู้สนใจปลูกสะตอกันอย่างแพร่หลายเกือบทุกภาคของประเทศ
พันธุ์
พันธุ์ สะตอมี 2 ชนิด คือ
สะตอข้าว ลักษณะฝักเป็นเกลียว ยาวประมาณ 31 ซม. กว้างประมาณ 4 ซม. จำนวนเมล็ดต่อฝักประมาณ 10-20 เมล็ด จำนวนฝักต่อช่อประมาณ 8-20 ฝัก เมล็ดมีกลิ่นไม่ฉุนเนื้อเมล็ดไม่ค่อยแน่น อายุการให้ผลผลิต 3-5 ปี หลังปลูก
สะตอดาน ฝักมีลักษณะตรงแบนไม่บิดเบี้ยว ยาวประมาณ 32 ซม. ความกว้างกว้างกว่าสะตอข้าวเล็กน้อย มีเมล็ดต่อฝักประมาณ 10-20 เมล็ด จำนวนฝักต่อช่อประมาณ 8-15 ฝัก เมล็ดมีกลิ่นฉุนรสเผ็ด เนื้อเมล็ดแน่น อายุการเก็บเกี่ยว 5-7 ปี การขยายพันธุ์
1. เพาะเมล็ด การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เป็นวิธีการที่ทำได้ง่าย และได้ต้นพันธุ์จำนวนมาก โดยการนำเมล็ดจากฝักที่แก่ขนาดที่ใช้รับประทาน แกะเมล็ดแล้วนำไปเพาะลงถุง ประมาณ 2-3 เดือน ก็นำไปปลูกได้ แต่ต้นที่ปลูกจะมีลำต้นสูงใหญ่ มีการกลายพันธุ์ได้และให้ผลผลิตช้า 2. การติดตา การขยายพันธุ์โดยวิธีการนี้ เป็นวิธีการที่นิยมกันในปัจจุบัน เพราะต้นสะตอ ที่นำไปปลูกมีลักษณะให้ผลผลิตเร็วตรงตามพันธุ์ ลำต้นไม่สูง สามารถปฏิบัติดูแลรักษาและเก็บเกี่ยวได้ง่าย
การปลูก
สะตอสามารถปลูกและเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพพื้นที่ แต่ต้องไม่มีน้ำท่วม
การปลูกสามารถปลูกเป็นพืชเดี่ยวหรือปลูกร่วมกับพืชชนิดอื่น ๆ ได้ ควรปลูกในร่องต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม – มิถุนายนโดยใช้ระยะปลูกระหว่างแถว 9-10 เมตร ระยะห่างระหว่างต้น 9-10 เมตร ขุดหลุมขนาด 50×50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก่อนปลูก เมื่อปลูกแล้ว ปักไม้แนบลำต้น ผูกเชือกรดน้ำให้ชุ่ม และทำร่มเงาทิ้งไว้ประมาณ 1 ปี การดูแลรักษา
การปฏิบัติดูแลรักษา
การให้น้ำ ในระยะเริ่มปลูกรดน้ำ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
การใส่ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยเคมี 2-3 เดือนต่อครั้ง ตั้งแต่เริ่มปลูก โดยใส่ปุ๋ยเคมี ดังนี้
ช่วงการเจริญเติบโต ก่อนการให้ผลผลิต หลังการเก็บเกี่ยวและตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15
ช่วงก่อนการออกดอก ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 หรือ 9-24-24
ช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว 1 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 หรือ 0-0-50
การตัดแต่งกิ่ง
ตัดยอด เมื่ออายุ 1-2 ปี หรือสูง 2-3 เมตร เพื่อให้มีการแตกทรงพุ่มและลำต้นไม่สูง
ตัดแต่งกิ่ง หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อให้ทรงพุ่มโปร่งและไม่ให้สูงเกินไป
การป้องกันกำจัดวัชพืช
เมื่อสะตอยังเล็กอยู่จำเป็นต้องมีการกำจัดวัชพืช โดยใช้มีดหรือจอบถางหรือใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช เมื่อสะตอโตแล้ว การกำจัดวัชพืชก็น้อยลง
การเก็บเกี่ยว
การให้ผลผลิตของสะตอจะมีมากในช่วงเดือนมิถุนายน -สิงหาคม อายุของฝักสะตอที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวฝักเพื่อนำมา บริโภค คือ 48-54 วันหลังดอกบานโดยประมาณ โดยสังเกตจากมีลักษณะสีของฝักมีสีเขียวเข้ม มันแวว ตรงเมล็ดจะนูน เห็นเด่นชัดสะดุดตา เปลือกหุ้มเมล็ด เมื่อแกะดูด้านในที่บริเวณขั้วของเปลือกมีสีเหลืองเข้ม
ส่วนใหญ่จะใช้มีดผูกกับปลายไม้แล้วสอยลงมา เกษตรกรจะมัดฝักสะตอเป็นช่อๆละ 100 ฝัก ขายส่งพ่อค้าคนกลาง ราคาประมาณ 80 – 1,000 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาลของสะตอ ว่ามากหรือน้อย ราคาขายปลีกในฤดูกาล ราคาฝักละ 2-5 บาท นอกฤดูกาล ราคาฝักละ 8-10 บาท สรรพคุณทางยา
- ผลต่อความดันโลหิต - ผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์- ผลยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย- ผลยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา- ผลของการเกาะกลุ่มของเม็ดเลือดแดง- ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด- ฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
สมุนไพรรักษาอาการคันในร่มผ้า
โรคผิวหนังอักเสบ
หากไม่มีตกขาว แต่มีอาการคันและเป็นผื่นแดงที่แคม (แคม 2 คู่ประกอบด้วยแคมนอกและแคมใน สำหรับปกปิดอวยวะสืบพันธุ์ภายใน) นี่เป็นสัญญาณของโรคผิวหนังอักเสบ หรือโรคสะเก็ดเงิน โดยผิวหนังที่ห่อหุ้มแคมและบริเวณ ดังกล่าวจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากโรคผิวหนังอักเสบ ขณะที่ส่วนอื่นของร่างกายไม่ได้รับผลกระทบ
บรรเทาอาการคันโดย
“แพทย์อาจแนะให้ใช้ครีม aqueous cream หรือปิโตรเลียม เจลลี่ (petroleum jelly) บรรเทาอาการคันภายนอก” ดร.ราเชล กล่าว “แพทย์อาจจ่ายครีมสเตียรอยด์ช่วยลดการอักเสบให้ทาเป็นครั้งคราว” หรือจะใช้สเปรย์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ปลอดสเตียรอยด์อย่าง Salcura’s Gentle Skin Therapy Spray ซึ่งอ่อนโยนเพียงพอสำหรับผิวทารก รวมถึงทีทรีออยล์ (tea tree oil) น้ำผึ้งมานูก้า (manuka honey) แร่ธาตุจากทะเลเดดซีและคาเลนดูลา (ดาวเรือง) เพื่อบรรเทาและรักษา
“อย่าถูหรือเกา เพราะจะยิ่งทำให้คันและระคายเคืองมากขึ้น หรือเข้าทำนอง ยิ่งคันยิ่งเกา ยิ่งเกายิ่งคัน พยายามตัดเล็บให้สั้น สวมถุงมือผ้าฝ้ายตอนกลางคืน หากรู้สึกคันและต้องเกาเวลานอน”
สำหรับการแก้ปัญหาในระยะยาว แพทริก โฮลฟอร์ด นักโภชนาการแนะให้เปลี่ยนอาหารการกิน “ให้ทานผัก อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ และกรดไขมันจำเป็นจากเมล็ดพืชต่าง ๆ เขากล่าว “หากสงสัยว่าจะแพ้นมหรืออาหารจำพวกแป้งสาลี ให้ทดลองหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้”
โรคผิวหนังอักเสบชนิดแห้งฝ่อ (Lichen Sclerosus)
มีลักษณะเป็นผื่นแดงหรือตุ่มขาว คันบริเวณปากช่องคลอด แห้งแตกเป็นสะเก็ด เจ็บหากไม่รักษา อาการดังกล่าวเป็นสาเหตุให้เนื้อเยื่อบริเวณนี้หดตัว และมีการเปลี่ยนแปลงสาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าอาจมาจากกรรมพันธุ์ และมักพบบ่อยในผู้หญิงวัยทอง ประมาณกันว่าผู้หญิง 300 คนจะมี 1 คนที่เป็นโรคนี้ โดยมากพบในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
บรรเทาอาการคันโดย
โชคไม่ดีที่โรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษา แต่สามารถควบคุมไม่ให้อาการกำเริบได้ โดยใช้ครีมหรือขี้ผึ้งสเตียรอยด์ คุณควรไปพบแพทย์ด้านผิวหนัง สูตินรีแพทย์ ควรตำรวจเช็กอวัยวะเพศของคุณเป็นประจำ สังเกตดูว่า มีก้อนเนื้อหรือการเปลี่ยนแปลงผิดปกติใด ๆ หรือไม่ เพราะอาจเป็นมะเร็งที่ผิวหนังปากช่องคลอดได้
โรคติดเชื้อทริโคโมนาส (Trichomoniasis)
เป็นโรคติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้มีอาการแสบ เป็นผื่นแดง และคันบริเวณปากช่องคลอด บางรายอาจมีตกขาวสีเหลืองลักษณะเป็นฟองมีกลิ่นเหม็น และเจ็บเวลาฉี่ โดยมากผู้ชายและ 50% ของผู้หญิงจะไม่แสดงอาการ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเชื้อนี้จึงติดต่อถึงกันได้ง่าย
บรรเทาอาการคันโดย
หากคิดว่าติดเชื้อนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ จะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง หากจำเป็นแพทย์จะรักษาโดยการให้ยาเม็ดเมโทรไนดาโซล (metronidazole) ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขณะใช้ยานี้ เพราะอาจไปทำปฏิกิริยาด้านลบต่อร่างกาย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ควรให้คู่รักของคุณเข้ารับการตรวจ และหากพบเชื้อจะได้รักษาให้หาย อย่างไรก็ตาม เราสามารถบรรเทาอาการคันได้ โดยการอาบน้ำเกลือ ให้เติมเกลือ 2 กำมือลงในอ่างอาบน้ำที่มีน้ำอุ่น
ผิวแพ้ง่าย
แชมพู เจลอาบน้ำ น้ำยาฆ่าเชื้อ ผงซักฟอก และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ล้วนเป็นต้นเหตุให้เกิดอาการคันและผื่นแดงที่จุดซ่อนเร้นนั่น เพราะสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น จะทำให้ผิวหนังดูดซึมสารเคมีได้ดี จึงทำให้ผิวเกิดการแพ้ได้ง่าย “ผิวทำปฏิกิริยากับสบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม บาธออยล์ (bath oils) และผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นที่จุดซ่อนเร้น ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดตกขาวและอาการคัน” ดร.เฟรด วอดสเวิร์ธ สูตินรีแพทย์และผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์แห่งสถาบัน Pure Nutrition กล่าว
บรรเทาอาการคันโดย
“เปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโปอัลเลอร์เจนิก (hypoallergenic) ใช้แล้วไม่แพ้ และล้างด้วยน้ำเปล่า (หลีกเลี่ยงครีมอาบน้ำที่มีฟอง) จนกว่าอาการจะดีขึ้น” ดร.เฟรดกล่าว
ควรใช้ผ้าขนหนูสะอาด ๆ เช็ดทุกวัน หรือสระผมแยกต่างหากจากการอาบน้ำ และใช้ผงซักฟอกสำหรับซักเสื้อผ้าทารก หรือเหมาะกับคนผิวแพ้ง่าย ซักชุดชั้นในของคุณ หรือซักน้ำหลาย ๆ เที่ยว เพื่อล้างผงซักฟอกออกให้หมด หลีกเลี่ยงน้ำยาปรับผ้านุ่มและอย่าว่ายน้ำในสระขณะเป็นโรคนี้ เพราะคลอรีนจะทำให้อาการคันรุนแรงขึ้น กระดาษชำระชนิดฟอกสีเป็นตัวการให้เกิดการแพ้ได้เช่นกัน เปลี่ยนไปใช้กระดาษชำระชนิดไม่ฟอกสี
“อย่าใช้ถุงยางอนามัยที่หล่อลื่นด้วยสารชะลอการหลั่ง เพราะอาจก่อให้เกิดอาการคันหรือแพ้ได้” ดร.ราเชลกล่าว
วัยทอง
อีกครั้งที่วัยทองเป็นตัวการของปัญหานี้ ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงเป็นสาเหตุให้เนื้อเยื่อหดตัว “ทำให้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศบางลงและแห้งลง เกิดอาการคันและระคายเคืองได้ง่าย” ดร.ราเชล
บรรเทาอาการคันโดย
ใช้ครีมเอสโตรเจน หรือการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ “ผมแนะให้ทานอาหารเสริมจำพวกตังกุย หรือแบล็กโคฮอช (black cohosh) เป็นประจำ หรือทานทั้งสองอย่างนี้ร่วมกับสมุนไพรธรรมชาติที่มีสรรพคุณช่วยในการหล่อลื่น” ดร.มาร์คกล่าว
ล้างจุดซ่อนเร้น
ผู้หญิงบางคนกังวลเรื่องความสะอาดที่จุดซ่อนเร้นมาก จึงต้องล้างวันละหลาย ๆ ครั้ง การทำเช่นนี้ยิ่งทำให้รู้สึกคัน “ความผิดพลาดคือยิ่งล้างบ่อย ก็ยิ่งทำให้ผิวแห้ง คันและระคายเคืองมากขึ้น” ดร.เฟรดกล่าว
บรรเทาอาการคันโดย
ใช้มือล้างจุดซ่อนเร้นเบา ๆ วันละครั้ง ๆ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นที่จุดซ่อนเร้น อย่าล้างช่องคลอดด้วยน้ำสบู่ เพราะในช่องคลอดมีระบบทำความสะอาดตัวเองที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว น้ำสบู่จะไปทำลายความเป็นกรดตามธรรมชาติของช่องคลอด
เนื้อผ้าที่ระคายเคือง
ผ้าใยสังเคราะห์ที่นำมาตัดเย็บชุดชั้นใน เป็นต้นเหตุของอาการคันที่จุดซ่อนเร้นเช่นกัน วัสดุที่ทำจากฝีมือมนุษย์นี้ระบายอากาศไม่ดี แถมกักเก็บความขึ้นเอาไว้ ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
บรรเทาอาการคันโดย
“ซื้อชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย 100% อย่าเลือกที่ทำจากผ้าใยสังเคราะห์และไนลอน ซึ่งทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี จึงทำให้เหงื่อออกมาก” ดร.ราเชลบอก
“หลีกเลี่ยงการสวมกางเกงเลกกิ้ง (leggings-กางเกงผ้ายึดที่ฟิตติดขา) หรือกางเกงจักรยาน สวมกระโปรงแทนกางเกงขายาว และสวมถุงน่องแบบ stockings แทนถุงน่องแบบ tights หรือถุงน่องหนา ๆ ต้องมั่นใจก่อนว่า อวัยวะเพศของคุณแห้งสนิทก่อนสวมกางเกงใน”
หายได้ทันใจ
ต่อไปนี้คือวิธีชะลออาการคันด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานชั่วคราว จนกว่าจะพบสาเหตุที่แท้จริงของโรคและรักษาให้หายขาด
เมื่อสังเกตพบตกขาวผิดปกติหรือมีกลิ่น ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชและสมุนไพร อย่างคาร์โมไมล์และคาเลนดูลา (ดอกดาวเรือง) มีค่า pH สมดุล 4.1 ซึ่งจะช่วยปรับสภาพสมดุลความเป็นกรดของช่องคลอด
ดร.มาริลีน เกลนวิลล์ ผู้เชี่ยวชาญของ Health Plus แนะให้ทำความสะอาดช่องคลอดของคุณด้วยน้ำที่มีความเป็นกรดอ่อน ๆ เพื่อคืนความสมดุลตามธรรมชาติของช่องคลอด โดยนำน้ำมันหอมระเหยทีทรีแอนตี้เซปติก (antiseptic tea tree essential oil) 2-3 หยด แอปเปิ้ลไซเดอร์วินิการ์บริสุทธิ์ (apple cider vinegar) 3 ถ้วยผสมกับน้ำที่ใช้อาบ
วิตามินอีช่วยไม่ให้ผิวแห้ง แนะให้ทานอาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร ดังกล่าว (เช่น ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่าง ๆ เนื้อปลา) หรือทานอาหารเสริมจำพวกวิตามินอี
สมุนไพรรักษาโรคมะเร็งลําไส้
ปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับสองของประชากรไทยและมีแนวโนมสูงขึ้นทุกๆป
ยารักษา
โรคมะเร็งที่ใชในทางการแพทย ก็มีแต่ยาแผนปัจจุบันที่มีราคาแพง ซึ่งจะต้องนําเขาจากต่างประเทศทั้งหมดทั้งในรูปยาสําเร็จรูปหรือวัตถุดิบอีกทั้งยังพบว่ามีผลข้างเคียงสูง ทางเลือกอีกทางหนึ่งของผู้ป่วยโรคมะเร็ง จึงหันมานิยมใชสมุนไพรพื้นบ้านเพื่อนํามารักษาโรคมะเร็งที่เป็นอยู
จุดประสงค์ของการใช้หญ้าปักกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ1. การใช้หญ้าปักกิ่งในผูป่วยโรคมะเร็ง โดยมีสรรพคุณว่า- เพื่อใหคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกขทรมาน บางรายมีอายุยืนยาวมากขึ้น- เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบําบัดหรือรังสีบําบัด2. การใช้ในผู้ป่วยอื่นที่ไมใช่ผู้ป่วยมะเร็ง- เมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น- ผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง แผลอักเสบมีหนองหรือน้ําเหลืองไหล เมื่อใช้หญ้าปกกิ่ง พบว่าแผลแห้ง ไม่มีหนองและน้ําเหลือง
ผลการวิจัยศึกษาหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่ง